ไตรกลีเซอไรด์เป็นแหล่งให้พลังงานที่สำคัญของร่างกาย 1 กรัมของไตรกลีเซอไรด์ (ไขมัน) ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ ขณะที่คาร์โบฮัยเดรทและโปรทีน 1 กรัม ให้พลังงานอย่างละ 4 กิโลแคลรี่ ไตรกลีเซอไรด์จะเก็บสะสมในรูปของเนื้อยื่อไขมัน (adipose tissue) ใต้ผิวหนังของร่างกาย หรือสะสมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ เป็นต้น
แสดงโครงสร้างของกรดไขมันที่ด้านหนึ่งเป็น carboxyl group (แสดงความเป็นกรด) เชื่อมต่อกับไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนคาร์บอนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของกรดไขมัน ในภาพด้านขวา แสดงการจับกันของคาร์บอนแต่ละตัวเป็นแบบพันธะเดี่ยว (single bond) ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) ส่วนภาพด้านซ้าย จะมีพันธะคู่ (double bond) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่ง (monounsaturated fatty acid หรือ MUFA)
ตัวอย่างโครงสร้างกรดไขมันไลโนเลอิก ที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่
(double bond) มากกว่า 1 ตำแหน่ง ซึ่งเรียกว่า polyunsaturated fatty acid หรือ PUFA
(double bond) มากกว่า 1 ตำแหน่ง ซึ่งเรียกว่า polyunsaturated fatty acid หรือ PUFA
กรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวในน้ำมันและอาหารประเภทต่างๆ
โครงสร้างของไลโปโหรทีน ส่วนแกนภายในจะประกอบด้วยไขมันที่ไม่ะลายน้ำ คือไตรกลีเซอไรด์
และโคเลสเตอรอลเอสเท่อร์ หุ้มด้วยส่วนเปลือกชั้นเดียวของฟอสโฟไลปิดที่แซมด้วยโคเลสเตอรอลอิสระ และพันด้วยอะโพโปรทีน ในระยะแรก ไตรกลีเซอไรด์จะมีจำนวนมาก ทำให้ไลโปโปรทีนมีขนาดเซลล์พองใหญ่ และความหนาแน่นต่ำ (คือไคโลไมครอน) เมื่อไหลเวียนในกระแสเลือด ไตรกลีเซอไรด์ถูกย่อยและปล่อยเข้าสู่เซลล์ที่ต้องการ ไตรกลีเซอไรด์ที่อยู่ภายในก็เหลือน้อยลง โคเลสเตอรอลก็มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้น และเปลี่ยนเป็น LDL และ HDL ตามลำดับ ซึ่งขนาดเซลล์จะเล็กลง และความหนาแน่นของเซลล์ก็สูงขึ้น
ภาพทั้ง 5 ข้างต้น แสดงถึงจำนวนของไตรกลีเซอไรด์ที่ลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อถูกย่อยสลายไป เปลี่ยนจาก chilomicron เป็น VLDL, LDL, และ HDL ทำให้อัตราส่วนของโคเลสเตอรอลสูงขึ้น โดยเฉพาะ LDL ที่เป็นไขมันตัวร้าย มีโคเลสเตอรอลภายในสูงถึง 50%
ผู้ร้ายที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งคือ LDL-c การรับประทานอาหารเฉพาะโคเลสเตอรอลไม่ทำให้ LDL-c สูงขึ้น แต่การรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัวสูงมีผลทำให้ LDL-c สูงขึ้นได้ แล้วโคเลสเตอรอลมาจากไขมันสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น