เดิมผมตั้งใจจะเขียนแนะนำเรื่องอาหารในแนวของ "แนวทางอาหารสำหรับคนอเมริกัน 2015-2020" ของ USDA (USDA Dietary Guidelines for Americans 2015-2020) เพราะคิดว่าเป็นความรู้ และเกิดประโยชน์ได้ หากนำไปประยุกต์กับชีวิตประจำวันของเรา แต่เนื่องจากช่วงนี้ ผมยังไม่มีเวลามาเขียนบทความใหม่ จึงขอนำ "ประสบการณ์จากห้องตรวจ" มาลงคั่นไว้ก่อน เรื่องอาหาร ขออนุญาตไว้เป็นตอนต่อไป
ผู้ป่วยชาย รายหนึ่ง อายุ 76 ปี สูง 160 ซม. หนัก
78.9 กก.
รับไว้ในโรงพยาบาลด้วยเรื่องอัมพาตครึ่งซีกซ้ายมาประมาณ 5
วันก่อนมาโรงพยาบาล แพทย์ด้านสมองเป็นผู้รับไว้
และให้การรักษาด้านสมองตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล
ผู้ป่วยมีประวัติเป็นเบาหวานมาประมาณ
5 ปี ไม่ได้รับประทานยาอะไร
คุมอาหารอย่างเดียว
น้ำตาลในเลือดก่อนอาหารตรวจได้ประมาณ 120 มก/ดล มาตลอด ซึ่งดูเหมือนว่าจะคุมได้ดี ผู้ป่วยมีประวัติครอบครัวคุณแม่เป็นเบาหวาน
และพี่สาวก็เป็นเบาหวาน
ปฏิเสธการกินยาลูกกลอนหรือสมุนไพร
ปฏิเสธการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า
ผลเลือดวันแรกรับ blood glucose (ไม่ได้อดอาหาร)
= 190 มก/ดล ค่า BUN และ Cr (คือหน้าที่ไต) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าฮีมาโตคริต (การตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง) 55.4%
ซึ่งถือว่าสูงเกินเล็กน้อย ค่าฮีโมโกลบิน (คือโปรทีนที่ทำหน้าที่จับออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง)
18.1 กรัม% ซึ่งค่อนไปทางสูงเช่นกัน
ผล
MRA brain
(คือการตรวจหลอดเลือดสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)
พบมีรอยโรคที่แสดงถึงการตายอย่างเฉียบพลันของสมอง (acute infarction) ในส่วนที่เรียกว่า external capsule ข้างขวา
และส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตแขนขาซีกซ้าย
ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล
แพทย์ได้สั่งเจาะตรวจน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วทุกเช้า ได้ค่าน้ำตาลในเลือดระหว่าง 114-127
มก/ดล โดยที่ไม่ได้ยาลดน้ำตาลในเลือด ไม่ว่าจะเป็นยาฉีดอินซูลินหรือยารับประทาน ความดันโลหิตอยู่ระหว่าง 160-190/100-110
มม.ปรอท
หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้
2-3 วัน ได้ทำการตรวจเลือดอีกครั้ง พบว่า น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร 134 มก/ดล HbA1c
8.3% ค่าของตับ (SGPT)
ปกติ ไขมันตัวไม่ดี (LDL-c)
ได้ 94 มก/ดล ไตรกลีเซอไรด์ ได้ 131 มก/ดล ไขมันตัวดี (HDL-c) 35
มก/ดล
โดยสรุป
สิ่งที่ผิดปกติ และประเด็นที่น่าสนใจของผู้ป่วยรายนี้คือ
1. ผู้ป่วยมีเส้นเลือดในสมองตีบและมีการตายของเนื้อสมองบางส่วนแล้ว
ซึ่งยืนยันจากการทำ MRA brain และเป็นสาเหตุทำให้มีอาการอัมพาตซีกซ้าย
2. ความดันโลหิตสูง ในคนปกติ ความดันโลหิตไม่ควรเกิน 140/90 มม.ปรอท ในคนที่เป็นเบาหวาน
ต้องการให้ความดันโลหิตประมาณ 130/80 มม.ปรอท
3. เป็นเบาหวาน
ถึงแม้น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารตอนเช้าไม่สูงก็ตาม แต่ค่า HbA1c สูงมาก 8.3% (ปกติประมาณ 4-6%)
4. ไขมันตัวไม่ดี (LDL-c) ได้ 94 มก/ดล ถึงแม้ไม่สูง (ในคนที่เป็นเบาหวาน ค่า
LDL-c ไม่ควรเกิน 100 มก/ดล) แต่ผู้ป่วยได้ยาลดไขมันอยู่ ซึ่งแสดงว่า ในภาวะปกติ (ที่ไม่ได้ยาลดไขมัน) LDL-c
ควรสูงกว่านี้
5. จำนวนเม็ดเลือดแดงค่อนไปทางสูง
ถึงแม้จะไม่สูงเกินมาก
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายนี้คือ
อัมพาตซีกซ้าย อัมพาตเป็นผลที่เกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบ อะไรที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดขึ้น ถ้าประมวลจากปัญหาผู้ป่วยรายนี้
พอสรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดอัมพาตได้คือ
1. ความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยยังคุมความดันโลหิตไม่ได้ดี ขณะที่อยู่โรงพยาบาล
ความดันโลหิตยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการตายของเนื้อสมองบางส่วนใหม่ๆ
ยังไม่รีบลดความดันโลหิตให้ลงมาเร็วๆ
เพราะอาจเกี่ยวกับเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลง
แต่ประเมินจากความดันโลหิตที่ผ่านมา น่าแสดงว่าเป็นความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย
ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดแดงตีบ
ซึ่งทำให้เกิดการตายของเนื้อสมองบางส่วนได้
2. เบาหวาน ผู้ป่วยมีประวัติเป็นเบาหวานมาประมาณ 5
ปีแล้ว รักษาโดยการควบคุมอาหารอย่างเดียว และบอกว่า น้ำตาลในเลือดอยู่ที่ประมาณ 120
มก/ดล
แม้ขณะอยู่ในโรงพยาบาล น้ำตาลในเลือดปลายนิ้วตอนเช้าก็ไม่สูงเช่นกัน ถ้าดูเฉพาะน้ำตาลในเลือดก่อนอาหารตอนเช้า
จะเห็นว่าเบาหวานดูเหมือนคุมได้ดี ไม่น่ามีปัญหา
แต่ถ้าดูค่า HbA1c ที่สูง 8.3%
จะเห็นว่าเบาหวานยังคุมได้ไม่ดี (เป้าหมาย HbA1c ต่ำกว่า 7%) ค่า HbA1c ที่สูงขึ้นสะท้อนถึงการแกว่งของน้ำตาลตลอดทั้งวัน
และน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น น่าจะเป็นน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร ค่า HbA1c ที่อยู่ในช่วงระหว่าง
7-8% เกินกว่าครึ่งหนึ่งมาจากน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร เบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือดแดงตีบ
เมื่อเบาหวานคุมไม่ดี โอกาสเกิดอัมพาตก็สูงขึ้น
3. ไขมันที่ไม่ดี (LDL-c) ถึงแม้ไม่สูงมาก เนื่องจากผู้ป่วยรับประทานยาลดไขมันอยู่
และฤทธิของยาทำให้ค่าของ LDL-c อยู่ที่ 94 มก/ดล ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เป้าหมายที่ต้องการ (คือต่ำกว่า 100 มก/ดล) อย่างไรก็ตาม
นั่นแสดงว่าปกติผู้ป่วยรายนี้มีไขมันสูงอยู่แล้ว นอกจากนี้ ไขมันตัวดีคือ HDL-c ไม่สูง ค่อนไปทางต่ำ เพราะฉะนั้น
ถ้าดูจากค่าของไขมันในเลือดแล้ว ก็บอกได้ว่า ภาวะไขมันเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอัมพาตได้ส่วนหนึ่ง
4. ผู้ป่วยมีดัชนีมวลกายเท่ากับ 30.8 กก.ต่อตารางเมตร
ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ที่อ้วน จากการซักประวัติเพิ่มเติมจากญาติที่ใกล้ชิด
ผู้ป่วยมีนอนกรนและหยุดหายใจเป็นบางช่วง
แสดงว่าอาจมีอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาการที่เรียกว่า Sleep-apnea
syndrome
ร่างกายจะขาดออกซิเจนเป็นบางช่วง
และพยายามปรับตัวโดยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้น
และทำให้ค่าฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตค่อนไปทางสูง
ผลที่เกิดขึ้น ทำให้เลือดมีความเข้มข้นสูงขึ้น และเป็นปัจจัยหนึ่งต่อการเกิดอัมพาต
ประเมินจากความผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่า ผู้ป่วยจัดอยู่ในกลุ่มอาการของเมตะบอลิค (Metabolic
Syndrome) ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4
ประการคือ อ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ภาวะกลุ่มอาการของเมตะบอลิคเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของหลอดเลือดแดงตีบ
(atherosclerosis) และทำให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
โรคอัมพาต ได้สูงกว่าคนทั่วไป
โดยสรุป ผู้ป่วยรายนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างต่อการเกิดหลอดเลือดแดงตีบ
และผลที่สุดก็เกิดอัมพาตซีกซ้าย ถึงแม้จะยังโชคดีที่อาการเป็นไม่มาก ยังรู้สึกตัว
และช่วยตัวเองได้ดี สิ่งสำคัญคือ ต่อไปผู้ป่วยจะต้องรักษาปัจจัยเสี่ยงต่างๆให้เข้มงวดมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายที่ต้องการ
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันในเรื่องการควบคุมอาหาร
และการออกกำลังกายให้ได้ผลการรักษาตามที่ต้องการ การรับประทานยาที่สม่ำเสมอ
การมาตรวจตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษาเป็นระยะๆ และการทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด
ตลอดจนการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
เหล่านี้ทั้งหมดมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขสบายมากขึ้น แม้จะเป็นอัมพาตก็ตาม